อินทิรา เจริญปุระ
This is my truth, Tell me yours...
ของ ทราย เจริญปุระ
มี 598 คนชอบรูปนี้
-
พิเศษเพิ่มไข่! #ไอเลิฟข้าวกอง; -
เมื่อวานน้องชีสเค้กฟักทองที่พามาฝากเนื้อฝากตัวหมดไปแล้วเรียบร้อย | วันนี้เลยพาเพื่อนใหม่มาแนะนำ | ขวามือคือแอปเปิ้ลพาย ไส้เป็นแอปเปิ้ลผัดเนยโรยซินนาม่อน แทรกด้วยชิ้นแครนเบอรี่ที่หมักกับรัมและฝักวนิลา ห่อด้วยแป้งพายกรอบและนุ่มแบบทูอินวัน | ซ้ายมือเป็นชอคทาร์ตหน้าสตอเบอรี่เกาหลี ได้ทั้งหวานมันของชอคโกแลตและหวานชื่นใจของสตอเบอรี่ | มาลองกันนะ ที่Coffee•Tree จ้า :)); -
HHhH : 4Hที่เป็นชื่อเรื่องนี้ย่อมาจากประโยคเต็มว่า -Himmlers Hirn heisst Heydrich-'สมองของฮิมม์เลอร์เรียกว่าไฮดริช' ซึ่งอ้างถึงชื่อของ2ผู้ยิ่งใหญ่ในพรรคนาซี คือไฮน์ริช ฮิมเลอร์ และไรน์ฮาร์ด ไฮดริช โดนอ้างถึงปฏิบัติการแอนโธรพอยต์ ซึ่งเป็นการลอบสังหารไรน์ฮาร์ด ไฮดริช โดยตัวปฏิบัติการลอบสังหารนั้นตื่นเต้นด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว การจะฆ่าบุรุษผู้ถือเป็นหัวหน้าลำดับต้นๆของพรรคนาซีที่กำลังเรืองอำนาจอย่างยิ่งในขณะนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยจิตใจอันเข้มแข็งและเสียสละของหลายๆคนทั้งที่ร่วมและไม่ได้ร่วมโดยตรงในปฏิบัติการ จนการลอบสังหารครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นตำนานบทหนึ่ง แต่ผู้เขียนคือบิเนต์, ที่ปัจจุบันเป็นศาสตราจารย์สอนวรรณกรรมฝรั่งเศสในมหาวิทยาลัยปารีส เลือกที่จะเติมความยอกย้อนลงไปในวิธีเล่าอีกหน่อย บิเนต์ไม่ได้เล่าเรียงอย่าง1,2,3 และไม่ได้ย้อนจากหลังไปหน้าเป็น3,2,1 บิเนต์เริ่มโดยการอนุมานว่าผู้อ่านรู้ถึงปฏิบัติการนี้แล้ว เขาพาเราเข้าไปในโบสถ์และพิพิธภัณฑ์ซึ่งยังรักษาสภาพการต่อสู้และจัดแสดงข้าวของและประวัติของผู้เกี่ยวข้องเอาไว้ จากนั้นเขาก็เริ่มเติมสีสันและรายละเอียดเข้าไปในประวัติศาสตร์ โดยเล่าถึง'การเล่า'ของตัวเขาเองไปพร้อมๆกันด้วย บิเนต์ไม่เขียนมันอย่างนิยาย ไม่มีตัวละครไหนถอนใจตรงที่ไม่จำเป็น เขาไม่รู้ว่าผู้คนดื่มกาแฟจากแก้วสีอะไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนเหล่านั้นกินกาแฟเพื่อถ่างตารอข่าวปฏิบัติการหรือไม่ เขาเล่าข้อเท็จจริงของเรื่องราวไปพร้อมๆกับทะเลาะกับกรรมวิธีของตัวเองไปผ่านบทสั้นๆของการเล่า จนมันเป็นเหมือนการแอบอ่านบันทึกของนักเขียนนิยายคนหนึ่ง ซึ่งเรารู้โครงเรื่องทั้งหมดแล้ว แต่ก็ยังอยากรู้ว่าเขาจะเล่ามันออกมาอย่างไร พูดง่ายๆคือบิเนต์เป็นคนกวนตีนนั่นเอง 55555 มันมีจังหวะที่เราจะอยากเขวี้ยงหนังสือทิ้งด้วยความหงุดหงิดที่ไม่เล่าซะที(โว้ย)แต่สุดท้ายก็ซมซานไปเก็บกลับมาอ่านต่อเพราะอยากรู้เรื่องทั้งๆที่เรารู้อยู่แล้วว่าเรื่องมันจบแบบไหนนั่นแหละ ถือว่าเป็นประสบการณ์ในการอ่านที่แปลกดีเหมือนกัน ^^ #การรีวิวหนังสือคืองานอันโดดเดี่ยว; -
พาเด็กใหม่มาแนะนำตัว~ | ชีสเค้กฟักทอง | เนื้อเค้กแน่นๆเนียนๆ หวานน้อยๆจากฟักทอง แต่ไม่หนักท้อง | เพิ่มความหอมด้วยครัมเบิลจินเจอร์คุ้กกี้ | กินกับชากาแฟแล้วพอดีคำ | มาลองกันได้ที่Coffee•Tree จ้า :)); -
ความต่อบทสวยๆ;
-
ความงดงามของชีวิตคือช่างมาล้างแอร์แล้ววววว | พี่ฟื้น(ช่างแอร์)คือดีย์ คือมาตรงเวลาตลอด | แต่เป็นผู้ชายคนเดียวที่กล้าคอมเมนต์ชั้น | 'คุณทราย หนังสือเยอะไปนะครับ นี่หนังสือมันเก็บฝุ่นนะ เป็นดาราคุณทรายต้องเก็บให้เรียบร้อยสิ' 555555; -
ร้อนก็ยิ้มมมมมมม #แม่นาก; -
พรุ่งนี้แล้วสินะคะ... cr:buibui&co; -
Into The Wild : คุณต้องใช้เวลาอย่างน้อย4วันเพื่อเดินเท้าจากเขตของเมืองที่ใกล้ที่สุดถึงจะมาตรงจุดนี้ได้ พื้นที่ป่ากว้างใหญ่และเดียวดายในเขตอะแลสกา สิ่งแปลกปลอมจากธรรมชาติกลางพื้นที่นี้คือรถบัสแฟร์แบงส์หมายเลข142ที่ถูกจอดทิ้งไว้เพื่อเป็นที่พักคนงานในยุคบุกเบิกเมื่อปี1963 คริส แมคแคนด์เลสตายในรถบัสคันนี้ ในฐานะเป็นคนรักสบายมาตลอดชีวิต ฉันไม่มีวันเข้าใจเสียงเพรียกหาของธรรมชาติกว้างใหญ่ภายนอก แม้ในตอนที่ยังรุ่นกว่านี้ก็ไม่เคย ได้แต่นับวันนับคืนรอการเป็นผู้ใหญ่ของตัวเอง เพื่อจะได้พ้นจากกฏเกณฑ์บางอย่างที่แม่ตั้งขึ้นมาก็แค่นั้น(ได้นอนตื่นสายๆและอ่านหนังสือในห้องส่วนตัว เป็นต้น)ไม่เคยมองไกลออกไปถึงริมหุบเขาเดียวดาย หรือขึ้นไปนอนเตนท์สัมผัสธรรมชาติ ความงามของเราคือความสบาย ไม่ใช่ความโดดเดี่ยว การท่องเที่ยวของเราคือได้นอนโรงแรมที่มีห้องพักและห้องน้ำดีๆแบบไม่ต้องแชร์ห้องกับใคร อยากอยู่คนเดียวหรือ? ล๊อคห้องและอ่านหนังสือสิ เราไม่เคยแม้แต่จะคิดถึงการออกไปปลูกผักปลูกหญ้ากินในวัยปลาย ไม่คิดจะทำสวนทำไร่ไปเงียบๆเพื่อหนีจากเมือง ไม่มี ไม่เคย ดังนั้นสิ่งที่คริสทำดูแทบจะเป็นเรื่องเข้าใจไม่ได้เลยสำหรับเรา คนหนุ่มในครอบครัวที่ดี เรียนดี จะทิ้งทุกอย่างและออกเดินทางไกล อาศัยพึ่งพิงจากผู้พบกันผ่านทางบางคน และเก็บกินแต่จากธรรมชาติเท่านั้น ในหนังสือพูดถึงปมครอบครัวของคริสเหมือนกัน แต่ฉันก็รู้สึกว่าครอบครัวไหนๆก็ย่อมมีปัญหา การถอยออกมาจากทุกอย่างไม่ช่วยอะไร เราแค่ไกลจากมันขึ้น แต่มันก็เป็นส่วนหนึ่งของเราอยู่ดี จะบอกยังไงดี, เราทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจคริสในเวลาเดียวกัน เราเข้าใจในความเยาว์วัยของเขา ความรู้สึกว่าชีวิตเรายังอีกยาวไกล สิ่งที่เรียกว่าความประมาทสำหรับคนแก่ๆอย่างเราคือสิ่งที่เรียกว่าความมั่นใจและท้าทายของเขา โลกนั้นเป็นมิตรเสมอในสายตาผู้เยาว์ ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่เกินไปกว่าการได้ลงมือทำ คริสคงอยากได้คำตอบอะไรสักอย่าง ซึ่งเราว่าเขาก็ได้แล้วนะ เพียงแต่ไม่มีโอกาสกลับมาบอกใครเท่านั้นเอง ไม่รู้ว่ะ มนุษยชาติอาจเป็นหนี้บุญคุณนักบุกเบิกผู้มีจิตวิญญาณแบบคริสนี่แหละ แต่คงต้องเป็นนักบุกเบิกชนิดที่มีความรอบคอบสักนิด บวกโชคอีกสักหน่อยน่ะ ไม่งั้นไอ้คนขี้ขลาดอย่างเราก็คงได้แต่นั่งรออยู่ในถ้ำ คอยให้ผู้กล้ากลับมาบอกเสียทีว่าโลกภายนอกเป็นอย่างไร โดยไม่ได้รู้และไม่กล้าออกไปดูด้วย ว่าไอ้ผู้กล้านั่นโดนหมีตะปบตายห่าไปตั้งแต่หน้าถ้ำหรือเปล่า อยากให้อ่านกันอะ มันดี ดีแบบรบกวนจิตใจเลย ((ดูตัวอย่างหนังInto The Wild ได้ที่นี่ฮะ http://youtu.be/2LAuzT_x8Ek )) #การรีวิวหนังสือคืองานอันโดดเดี่ยว; -
อยากกินมาหลายวัน :);
-
Mr. Mercedes : คลาดกันไปมากับเล่มนี้หลายที ตอนแรกจะซื้อก่อนงานหนังสือก็ยังไม่ออก พอได้ไปงานหนังสือบูทก็แน่นจนแทรกตัวเข้าไปไม่ไหว กว่าจะหมดงานกลับมาถึงหน้าร้านอีกทีเลยเพิ่งได้มา แต่ก็คุ้มนะ ห้าร้อยกว่าหน้านี่อ่านรวดเดียวจบไปเลย มาคราวนี้สตีเฟน คิง(ขอเรียกชื่อแบบที่คุ้นนะ)เขียนนิยายตำรวจนักสืบแฮะ ปกติไม่ค่อยเห็นคิงเขียนงานแนวนี้เท่าไหร่ คือตัวละครตำรวจน่ะมีทุกเรื่องแหละ มากบ้างน้อยบ้างว่ากันไป แล้วเล่มหลังๆก็ไปเน้นที่เรื่องคนธรรมดาที่มีพลังพิเศษ เจอเรื่องราวที่แฝงกลิ่นไอเหนือธรรมชาติซะเยอะ (ที่จริงแกก็มาแนวเหนือธรรมชาติมาตั้งแต่ต้นๆน่ะเนอะ คละๆไปกับเรื่องสั้นคนธรรมดา) แต่พอมาเจอเล่มนี้เราเลยรู้สึกค่อนข้างเซอร์ไพรส์ ที่คิงเขียนแบบเข้าขนบตำรวจนักสืบสวนไปเลยคือเก่งแต่ออกจะขวางโลกนิดๆ เคยติดเหล้า เกษียณ เจอคดีที่ออกจะเป็นเรื่องส่วนตัว เนี่ย สูตรป่ะล่ะ แต่คิงก็ไม่ได้เล่าแบบหาว่าใครทำนะ คือเขาบอกคนอ่านเลยว่า ไอ้นี่ทำ เรื่องของมันเป็นแบบนี้นะ เราคนอ่านเลยสนุกกับการลุ้นให้ตำรวจรู้ซักทีสิวะ ว่าไอ้นี่ทำ แต่คิงก็เขียนให้คนร้ายเก่งและอยู่ห่างจากวงจรผู้ต้องสงสัยได้ดีแหละ ไม่งั้นเราจะเบื่อนะ มีนิยายหลายเล่มทำแบบนี้ แล้วเราเบื่อมากเพราะรู้สึกว่าทำไมตำรวจโง่จัง แค่นี้ก็ไม่รู้ แต่เล่มนี้เราโอเคนะ บาลานส์น้ำหนักความกระชั้นชิดของการไล่สืบคดีได้กำลังดี ไม่ทิ้งตัวละครและไม่ทิ้งคนอ่านด้วย จริงๆถ้าทำเป็นหนังก็คงน่าสนใจเหมือนกัน บุคลิกตัวละครแต่ละตัวในเรื่องนี่มันจัดดี เอามารวมๆกันขึ้นจอคงสนุก ตัวร้ายมีเสน่ห์แบบป่วยๆ ตำรวจพังๆพร้อมผู้ช่วยที่ดูพังไม่แพ้กัน ก็ต้องนับว่าเป็นนิยายของคิง(ในยุคหลัง)ที่เราชอบเลยนะ ไม่ติดหวาน ไม่ติดแฟนตาซี ลดการบรรยายฉากลงและมาเน้นเกมแมวจับหนูของตำรวจและผู้ร้ายเป็นหลักจ้า #การรีวิวหนังสือคืองานอันโดดเดี่ยว; -
ความบอร์ดเกม~ | บ๊งเบ๊งมันส์มาก 55555 #boardjockey #chinatown; -
สงกรานต์แบบเรา cr:the flow; -
สงกรานต์นี้Coffee•Treeเปิดวันที่13-14นะฮัฟ ขอหยุด15วันนึงเพราะร้านน้ำแข็งเค้าปิด 555555 | ใครว่างเชิญเด้อ ^^; -
City of Veils : มีเล่มก่อนหน้านี้ออกมาแล้วเล่มนึง แต่เราไม่ได้ซื้อนะ มาซื้อเล่มนี้เลย สุ่มๆหยิบมาตอนงานหนังสือ แต่ก็น่าสนใจดี ย่อๆคือเกิดคดีฆาตกรรมในเมืองเจดดาห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ผู้ตายเป็นผู้หญิง พร้อมๆกับที่มีชายอเมริกันคนนึงหายไปจากบ้าน ทิ้งเมียชาวอเมริกันเช่นกันให้อกสั่นขวัญแขวนอยู่กับบ้านแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้ ที่ว่าน่าสนใจเพราะเรื่องมันเกิดที่ซาอุฯนี่แหละ ที่ถึงแม้ในเมืองเกิดเหตุอย่างเจดดาห์จะเคร่งครัดน้อยกว่าริยาด แต่มันก็ส่งผลต่อวิธีทำงานของการสืบสวนอยู่ดี แน่นอนว่าผู้หญิงเริ่มออกมาทำงานนอกบ้านได้ แต่ก็ไม่ได้ราบรื่นนัก ยังต้องขอความช่วยเหลือ/ร่วมมือจากผู้ชายอยู่ ซึ่งผู้ชายในเรื่องก็มีดีกรีความ'เคร่ง'แตกต่างกันออกไป ทั้งชายอเมริกันที่ชอบวิธีแบบซาอุฯ ทั้งตำรวจซาอุฯที่ยอมไปห้ามการทะเลาะของผู้หญิง(ทั้งที่ในทางความเชื่อไม่เอื้อให้ทำ) ส่วนผู้หญิงในเรื่องก็มีทั้งเคร่งแต่เปิดใจ กับมีท่าทางเหมือนจะเสรี แต่ก็ทำตัวไม่มีเกียรติอะ คดีในเรื่องเลยเป็นเหมือนเหตุผลแบบบางๆของการพยายามดิ้นรนปฏิบัติหน้าที่ภายใต้ข้อจำกัดอย่างมหาศาล รวมถึงวิถีที่เฉพาะตัวอย่างยิ่งของชาวซาอุฯด้วย ยอมรับว่าหลายทีก็ขัดใจว่า โอ๊ยยยยยย นี่เดินตามไปก็รู้เรื่องกันแล้วมั้ย แต่มันไม่ได้ไปอีก เมืองมันบังคับคนอยู่ ถือว่าเป็นรสชาติที่น่าสนใจของการอ่านหนังสือสืบสวนสอบสวนนะ ^^ #การรีวิวหนังสือคืองานอันโดดเดี่ยว;
Instagram is a registered trademark of Instagram, inc.