อินทิรา เจริญปุระ
This is my truth, Tell me yours...
ของ ทราย เจริญปุระ
มี 701 คนชอบรูปนี้
-
The Circle : ขอแซงคิวเอาเล่มนี้มาบอกต่อก่อนเลย เผื่อใครมีแผนไปงานหนังสือ2วันสุดท้ายจะได้สอย สนุกอะ สนุกแบบน่ากลัวๆด้วย นี่อ่านรวดเดียวจบเลยเมื่อคืนนี้ เรื่องย่อคือ'เม'ได้เข้าไปทำงานกับองค์กรในฝันของใครหลายๆคนที่ชื่อ'เดอะ เซอร์เคิล' เป็นบริษัทที่ให้บริการแบบรวมทุกการใช้อินเตอร์เน็ต อีเมล โซเชียลมีเดีย บัญชีธนาคาร หรือเว็บอะไรก็ตามคือรวบตึงอยู่ในเซอร์เคิลหมด(ลองคิดถึงเฟซบุ๊คแบบรวบยอดอะ)เป็นบริษัทที่ดี สร้างความเป็นชุมชนในองค์กร ใส่ใจในคนทำงานมาก มากกกกกกกจนน่ากลัว เมต้องบอกทุกอย่าง เข้าร่วมทุกกิจกรรม แต่เธอก็เต็มใจนะ คือมันดูดีมาก เก๋ๆทันสมัย เธออยากเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร เธออยากเป็นพวกเดียวกับเขา อยากได้รับการยอมรับ อ่านๆไปแล้วเหมือนเกาหลีเหนือแบบสีพาสเทลทันสมัยอะ หนังสือให้ฟีลแบบ'1984'ที่มีเฟซบุ๊ค การเข้ามารู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำ พูด คิดแบบที่เราเต็มใจให้ข้อมูลด้วยตัวเอง ซึ่งมันเข้าใจได้ไม่ยากเลยในยุคที่ทุกคนใช้เฟซบุ๊ค(โอเค เฟซบุ๊คยังไม่เป็นBig Brotherอย่างเซอร์เคิลหรอก แต่ก็เกือบอยู่นะ ถ้าเราไม่ระวังตัว เผลอไผลไปกับมัน) ทำให้เราจินตนาการถึงความเป็น'เม'ในตัวเราได้อย่างง่ายๆ โลกที่ทุกข้อมูลของเราล่องลอยแบ่งปันกับทุกๆคน โดยที่เราเป็นคนเลือกที่จะบอกไปเอง หนังสือไม่ได้เล่าเรื่องโดยใช้ฉากอนาคตหรือโลกดิสโทเปียอะไรเลย เล่าแบบใช้ฉากหลังเป็นปัจจุบันนี่แหละ หนังสือจะได้เอาไปทำเป็นหนังด้วย นำแสดงโดยหนูเฮอร์ไมโอนี่กับพี่ทอม แฮงค์(เท่ากับว่า แฮงค์ได้เล่นหนังที่มาจากหนังสือของเอกเกอร์เป็นเรื่องที่2แล้ว เรื่องแรกคือA Hologram for The King (ซึ่งหนังสือมีแปลไทยเหมือนกันชื่อ'หัวใจไม่หยุดฝัน'))ดูตัวอย่างภาพยนตร์A Hologram..ได้ที่ลิงค์นี้ http://youtu.be/UW4OE1egbHs ส่วนThe Circleมีแต่ข่าวการสร้าง ยังไม่มีตัวอย่างมาจ้า #การรีวิวหนังสือคืองานอันโดดเดี่ยว; -
The Treatment : ชุด สารวัตรแจ๊ค แคฟเฟอรี อ่านเล่มที่แล้วฮีก็ดีนะ แต่แอบหงุดหงิดนิดหน่อยว่าลำไยจัง ทั้งปมส่วนตัวและปมของเมียสารวัตร คดีน่ะนิดนึงมึงจะรื้อสร้างรำพันอะไรกันมากมาย พอมาถึงเล่มนี้ยังมีความลำไยกับปมอดีตอยู่นั่นแหละ แต่มันพาไปไกลขึ้น มีจุดสะเทือนอารมณ์ซึ่งเราอ่านแล้วเศร้าว่ะ แอบคิดๆอยู่เหมือนกันว่าปมวัยเด็กของสารวัตรมันน่าจะมีคำตอบนะ แต่พอได้คำตอบจริงๆในเล่มนี้แล้วเศร้าเลย กลายเป็นเส้นเรื่องรองที่ว่าด้วยปมส่วนตัวในอดีต เด่นกว่าเส้นเรื่องหลักในการไขคดีที่เกิดขึ้นปัจจุบันไปอีก เราว่าคดีปัจจุบันมันดูโกงๆในการคลี่คลาย คือเหมือนจะลูกเล่นแต่ไม่เคลียร์เลย กลายเป็นคาใจเราไปอีก แต่ก็อย่างที่บอก, เส้นเรื่องรองลงตัว เอาตัวรอดไปได้ฉิวเฉียดค่ะ The Cabinet of Curiosities : ใครชอบฟีลนักสืบเชลยศักดิ์สไตล์เชอร์ลอค โฮล์มสหรือนักสืบคาแรคเตอร์จัดๆยุควิคตอเรียนน่าจะชอบตัวเพนเดอร์แกสต์ที่เป็นพระเอกนักสืบของเรื่องนี้นะ คือหรู บ้านรวย มีความลับในตระกูล พูดจีนได้ ดื่มชา มีความรู้ทางศิลปะอะไรงี้ เราว่าเรื่องมันฝันๆแฟนตาซีอยู่เหมือนกัน มีหลับตานั่งทางใน แต่ไม่ได้ใช้โคเคนอย่างโฮล์มสนะ ไม่สกปรกมอมแมม ดาวน์ ทู เอิร์ทอย่างนักสืบสมัยนี้คนอื่นๆ ไม่มีใส่เชิ้ตพับแขนเหงื่อซ่กอะ เพนเดอแกสต์ฮีนั่งโรลส์รอยส์ไปสืบคดีจ้า 5555 เล่มนี้เหมือนเป็นเล่มกลางๆของเซ็ทนะ ฝรั่งคงเขียนกันมาหลายเล่มแล้ว ในเรื่องก็มีอ้างถึงคดีก่อนๆอยู่ แต่อ่านเข้าใจไม่ยาก ได้อ่านคนเขียนบรรยายภาพนิวยอร์กสมัยก่อนก็เพลินดี สรุปคือ : ใครชอบเรื่องลุยๆซ่กๆ เชิญเล่มแรก ใครชอบแนวเนี้ยบๆทำเล็บมาอย่างดีเชิญเล่ม2จ้า #การรีวิวหนังสือคืองานอันโดดเดี่ยว; -
Souls Embracing : เคยบอกไปว่าอ่านนิยายจีน(คือรวมๆจีน&ไต้หวันน่ะนะ)ยุคใหม่ไม่สนุกเลยว่ะ รู้สึกทำไมเราไม่จูนกับไอ้ที่เค้าฮิตๆกัน แปลมาจากนักเขียนในเว็บดังๆไรงี้ จนเกือบจะถอดใจแล้ว ก็มาเจอ'ลวง'เล่มนี้ ลองซื้อมา กะว่าถ้าไม่รอด ก็คงไม่เสี่ยงซื้ออีก รอดว่ะ รอดแบบดีไปเลยด้วย เรื่องก็ไม่ซับซ้อนอะไร นักเขียนดังคนหนึ่ง ไปเจอว่ามีบทความในอินเตอร์เน็ตที่ฟอร์เวิร์ดกันแบบโคตรฮิตลงชื่อว่าเค้าเป็นคนเขียน ทั้งที่เค้าไม่ได้เขียน แต่มันโคตรดังเลยนะ คนส่งต่อกันทั่วบ้านทั่วเมือง จากที่ปล่อยไปขำๆตอนแรกมันก็ไม่ขำแล้วไง แถมยังชักนำเอาเรื่องอีกสารพัดเข้ามาถึงตัวเค้าอีก คนเขียนเล่นกับจริยธรรมการเผยแพร่สื่อในยุคนี้ได้สนุกดี เราเป็นทั้งผู้กระทำและถูกกระทำในเวลาเดียวกัน ตัวร้าย(คือไม่รู้จะเรียกว่าอะไรอะ ไม่ใช่ผู้ร้ายหรอก เอาเป็นว่าไม่ใช่พี่นักเขียนตัวนำของเราก็แล้วกัน)ก็ทั้งน่าสงสารและน่าด่าในเวลาเดียวกัน อีบทความที่เอามาเผยแพร่ก็ไม่ได้ดีประเสริฐอะไร เป็นข้อความให้กำลังใจเลี่ยนๆแบบที่เราเห็นคนแชร์ในเฟซอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ชวนให้เรานึกถึงเวลามีคนมาเถียงเรื่องความแท้ของชิ้นงานหลายๆชิ้นที่ซาบซึ้งอบอุ่นหัวใจกัน เวลาคนเถียงว่าก็มันดีนี่คะ ใครเขียนมันก็ดีทั้งนั้นแหละ เป็นเรื่องราวดีๆค่ะ ที่ฟังแล้วก็ได้แต่หงุดหงิดว่ามันดีแต่มันไม่จริงโว้ยยยยยยย แต่ปัญหาคือคุณนักเขียนนี่ดันตามน้ำกับสถานการณ์ไปอย่างมึนๆเหมือนกัน ความชิบหาย(ที่ชวนให้นึกถึงMiseryของสตีเฟ่น คิงเบาๆ)ก็บังเกิด สนุก สนุกมากเลยสำหรับเรา คือตัวละครทุกตัวล้วนเป็นสีเทาแบบต่างเฉด ไม่ได้บอกว่าใครดีแต่เราก็อดเชียร์มันไม่ได้ อยากให้ลองอ่านกันจ้ะ #การรีวิวหนังสือคืองานอันโดดเดี่ยว; -
จบไปอีกสี่เล่ม | ขอถอนคำพูดเรื่องว่าไม่ชอบนักเขียนไต้หวันเลย เจอ'ลวง'อันนี้เข้าไป | ดีอะ ชอบ | เดี๋ยวค่อยมาเขียนยาวๆถึงทุกเล่มนะ; -
อเมริกาโน่ใส่ฟองนม | บลูเบอรี่ชีสเค้ก~ #coffeetree;
-
อาหารเย็นวันนี้~~ | อยากลองตำมะยมอ่า; -
เรียบร้อยมาก | คุณประเทียบ; -
นักสืบแฮร์รี โฮล (The Snowman / The Redbreast) : ถ้าจะวัดกันจากสายอาชีพ นักสืบในนิยายคงเป็นอาชีพที่สูบบุหรี่กินเหล้าเยอะที่สุดแล้ว สารวัตรโฮลก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น นักสืบนอกคอกผู้นี้สิงตัวอยู่ในบาร์มากกว่าอยู่ในสำนักงานเสียอีก นิยายนักสืบจากฝั่งสแกนดิเนเวียดูจะมีความเรื่อยๆร่วมกันบางอย่าง ชนิดที่อ่านแล้วสัมผัสได้ว่า'อ้าว ชาวสแกนนี่เอง' คือมันคงเป็นที่ระบบยุติธรรมหรือโครงสร้างองค์กรของเขา ที่ไม่ทำให้นักสืบเป็นพวกซิกแซกพลิกแพลง หรือโหมงานกันเป็นบ้าไปทั้งทีม เราจะได้เห็นการไล่ให้ทีมงานกลับบ้านไปนอนอยู่เรื่อยๆ และบ่อยครั้งการแยกตัวไปนอน/การไปมีชีวิตส่วนตัวนี่ก็เอื้อให้การสืบสวนออกมาอีกแบบที่ต่างจากนิยายสายเหยี่ยวอื่นๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่ามันอืดเอื่อยไม่เข้มข้น ปมปริศนาที่ถูกโยนมาในเรื่องอยู่ในระดับดี-ดีมาก ที่น่าสนใจคือหลายๆครั้งจะใช้ตัวละครที่เป็นคนแก่/เด็กหรือผู้หญิงมาเป็นตัวสำคัญ ซึ่งเราชอบอะ รู้สึกมนุษย์มันหลากหลายดี คนแก่มีปมมีปัญหาแบบคนแก่ เด็กก็มีแบบเด็กไรงิ 2เล่มนี้ เล่มRedbreastเขียนก่อน Snowmanมาทีหลัง ถ้าอ่อนไหวกับสปอยล์ต้องอ่านเรียงนะฮับ มันมีเส้นเรื่องของตัวละครที่ตายก่อนตายหลังกันอยู่ สนุกดีนะ สนุกแบบสแกนดิเนเวียน 5555 แต่ถ้าเอาถูกใจเรา(เอาเฉพาะชาวสแกนฯนะ) เรายังชอบคาแรคเตอร์ของสารวัตรวัลลันเดอร์(แฮนนิ่ง แมนเคล : สวีเดน)มากกว่า ดูพัง ดูอ่อนล้าดี ตามประสาชะนีชอบคนแก่ 55555555 #การรีวิวหนังสือคืองานอันโดดเดี่ยว ((เล่มRedbreast น้ำพุเคยพิมพ์มาก่อนแล้วนะคะ ในชื่อ'แกะรอยล่ายมทูตไร้เงาจ้า)); -
ข้าวกองดี ชีวิตดี~; -
In der Weimarer Republik : มีหนังสือเชิงวิชาการ/ประวัติศาสตร์หลายๆเล่ม ที่ข่มคนอ่านจนเหลือตัวเล็กจ้อยจิ๋ว และแทบจะไม่ทำให้เข้าใจอะไรได้มากไปกว่า 'คนเขียนเก่งจัง เขาต้องฉลาดมากแน่ๆแหละ ดูบรรณานุกรมและเชิงอรรถพวกนั้นสิ' เราลุยอ่านไปท่ามกลางความมืดมิดที่เต็มไปด้วยภาษาซึ่งเราไม่มีวันเข้าใจ วงเล็บพราวพรายเต็มหน้ากระดาษ ยกชื่อและบางหลักการที่เราไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีบนโลกมาอ้างอิง คนเขียนไม่ผิดอะไร และเราเชื่อว่าคนอ่านก็ไม่ผิดอะไรเช่นกัน เรารู้ว่าเรากำลังอ่านสิ่งยากๆ ที่เข้าใจได้ยาก และเรายิ่งกว่ายินดีที่จะวางมันลงเพื่อเอาเวลาไปทำควิซเด็กดีในเฟซบุ๊ค แต่สำหรับ'ในไวมาร์เยอรมันฯ' เราไม่ได้ถูกมองอย่างหยามเหยียดว่าเป็นผู้ไม่รู้และไม่พยายามทำให้เราไม่รู้ต่อไป แต่ก็ไม่ดูถูกเราด้วยการย่อยเรื่องและทำให้มันเรียบง่ายเกินกว่าข้อเท็จจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นในห้วงระยะเวลาสั้นๆในเยอรมัน ระหว่างสงครามโลกครั้งที่1 และสงครามโลกครั้งที่2 ประเทศที่ผลิตนักเขียน นักคิด นักปรัชญามากมายถูกควบคุมแบบเบ็ดเสร็จจากต้นถึงปลายได้โดยอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ได้อย่างไร เพราะฮิตเลอร์เป็นทรราชผู้เก่งกาจเหนือมนุษย์ ผู้จูงใจคนได้ทุกระดับจริงหรือไม่ หนังสือเล่มนี้ประกอบไปด้วยบรรยากาศของบ้านเมือง ผู้คน เหตุการณ์ ความตาย บทละคร เพลงแจ๊ซ ภาพยนตร์ มวลอากาศที่ล่องลอยและถูกสูดหายใจเข้าไปโดยผู้คนของไวมาร์ในช่วงเวลานั้น ความกระดักกระเดิด ความกลมกลืน และแนวคิดใหม่ๆที่ปะทะกันท่ามกลางซากปรักหักพังของสงครามโลกครั้งที่1 การฟื้นฟูและแก้ปัญหาไม่เคยทำได้ด้วยวิธีลัดหรือมีคำตอบเบ็ดเสร็จเพียงหนทางเดียว แต่ชาวไวมาร์ก็อยากลอง แล้วโลกก็เป็นไปอย่างที่เราได้เรียนในหนังสือประวัติศาสตร์ ภาณุเขียนหนังสือได้สนุก สิ่งละอันพันละน้อยในเล่มชวนให้เราไปกูเกิล หรือเสิร์ชดูต่อในยูทูป หนังสือไม่คุกคามแต่ชวนคิด และพูดได้อย่างเต็มปากว่าเป็นหนังสือที่'สนุก'ได้ด้วยกลวิธีการเล่าเรื่องของมัน #การรีวิวหนังสือคืองานอันโดดเดี่ยว;
-
การได้ไปงานหนังสือนี่มันดีจริมๆ~; -
ครับ | การซื้อหนังสือของอินทิรา | เต็มถุงอิเกีย; -
สู้อุตส่าห์เก็บออมไว้ แชมพูหมดก็ไปคุ้ยของที่ได้รับแจกมาใช้ ข้าวก็กินของกองถ่าย วันนี้ล่ะว้อยยยยยย ข้าจะละลายทรัพย์!!!; -
-วันนี้น้องสาวมาบ้าน นางเห็นสภาพห้องแม่และครัวแล้วจะเป็นลม เลยลงมือสังคายนากวาดทิ้งทุกอย่างโดยมีอีพี่มันเป็นลูกมือให้อย่างร่าเริง เพราะอีพี่ลงมือทำเองไม่ได้ หยิบอะไรทิ้งนี่โดนแม่ด่าตลอด (กับน้องแม่ไม่กล้าว่า นางแต่งงานแยกบ้านไปแล้ว แม่ไม่มีสิทธิสภาพนอกอาณาเขตไปจิกมันได้ เดี๋ยวมันไม่มาหาอีก) ตอนเราลงมือทำกันแม่งอน ไม่ยอมออกมาดูสภาพความสะอาดโล่ง จนพอนางกลับ แม่ก็เรียกอินทิราไปถาม- มารดา : ทิ้งอะไรของชั้นไปบ้าง อินทิรา : ทุกอย่างเลย ถุงดำเป็นสิบอะ มารดา : ทำไมล่ะ!! ของบางอย่างยังใช้อยู่นะ เอะอะๆจะทิ้งไม่ได้นะ!! อินทิรา : โอโห่ แม่ อะไรใช้ได้มั่งบอกมา แต่ละอย่างนี่ยังกะรอดมาจากค่ายกักกัน หนอนขึ้นแมลงขึ้นหมดแล้ว พราว(น้องสาว)มันไปเจอมะนาวดองกระปุกนึงในตู้เย็น หมดอายุตั้งตะลูกมันเกิดน่ะ ขึ้นราฟูไปทั้งกระปุกมะนาวบ้าอะไร อายุเท่าหลานทรายแล้วเนี่ย มารดา : เหรอ...(นิ่งไป)..แม่ว่ามะนาวเดี๋ยวนี้มันทำไม่ดีอะ แม่ซื้อมาแป๊บเดียวเอง ราขึ้นเร้วเร็ว กูยอมจ้า | โทษอะไรไม่ได้ไปลงกับมะนาวดองไปอีกกกกกกกกกก | ชาว #อร่อยสร้างภาพ ครัวพี่จะโล่งละนะ | จากเคาเตอร์ครัวยันตู้เย็น | ถุงดำล่างซ้ายนั่นคือ1ใน10ที่เคลียร์ทิ้ง | พี่โล่งใจเหมือนอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์~~; -
The Light Between Oceans : เป็นเรื่องของชายผู้กลับคืนสู่บ้านหลังสิ้นภารกิจในสงคราม เหรียญกล้าหาญที่เขาได้มาแลกด้วยชีวิตของคนมากมายที่เขาไม่อาจช่วยเหลือไว้ได้หมด เขาเลือกทำงานเป็นคนดูแลประภาคารที่เกาะเล็กๆอันห่างไกล ทั้งแสงไฟและท้องทะเลช่วยเยียวยาจิตใจเขา พร้อมกับที่เขาพบรัก แต่งงาน และพาเธอไปอยู่บนเกาะด้วยกัน แต่ความสูญเสียยังตามเกาะกุมชีวิตเขา ภรรยาเขาแท้งลูกถึง3ครั้ง ความเศร้าโศกกัดกินเธอถึงส่วนลึกในจิตใจ จนกระทั่งวันหนึ่ง... ฉากหลังของนิยายเรื่องนี้คือเมืองเล็กๆในออสเตรเลียยุคหลังสงคราม ทำให้เรารู้สึกมันแตกต่างออกไปจากเรื่องอื่นๆที่ใช้ยุโรปหรืออเมริกาเป็นพื้นที่หลัก(ทั้งที่ก็ไม่เคยไปหรอกนะ แต่อารมณ์ของการบรรยายมันเปลี่ยนไป ภาพในหัวเราก็ไม่เหมือนเดิม) เรื่องมันเศร้าจัง เป็นเรื่องที่เราอาจตัดสินใจลงไปได้ง่ายๆในบางช่วงชีวิต หรือบางสถานะที่เราเป็น แต่พออายุมากขึ้น เริ่มเข้าใจถึงเส้นแบ่งอันเบาบางระหว่างความน่าจะเป็นทั้งหลายบนโลกใบนี้ ความกระอักกระอ่วนใจในการอ่านก็มากขึ้นเป็นลำดับ เหมือนคนเขียนจับเราเป็นตัวประกันทางจริยธรรมอะไรบางอย่าง เราเห็นใจตัวละครทุกตัว เศร้าใจไปกับสิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญ และภาวนาว่าขอให้การตัดสินใจใดๆในชีวิตเรามันง่ายกว่าที่พวกเขาเจอได้ก็คงจะดี หนังสือได้รับการเอาไปทำเป็นหนัง น่าจะได้ฉายในปีนี้แหละ นำแสดงโดยฟาสเบนเดอร์ / วิกันเดอร์ และไวส์ (ดูตัวอย่างได้ในลิงค์นี้ : http://youtu.be/lk7yw00a4fs ) เป็นเรื่องนี้แหละที่ทำให้ฟาสเบนเดอร์และวิกันเดอร์เป็นคู่รักกัน (เชอะ) น่าดูอยู่นะ น่าจะเป็นหนังดราม่า Dilemmaชีวิตที่น่าสนใจ #การรีวิวหนังสือคืองานอันโดดเดี่ยว;
Instagram is a registered trademark of Instagram, inc.